กลยุทธ์
บรรยายแนวคิดการเรียนรู้
การสอนภาษาต่างประเทศมีวิธการ 2 แบบใหญ่ๆคือ
- Grammar-Translation Method: เน้นให้ผู้เรียนเข้าใจหลักไวยากรณ์ของภาษาและรู้ความหมายของคำศัพท์เพื่อความเข้าใจข้อเขียนและใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง ครูเป็นศูนย์กลางควบคุมการเรียนการสอน
- Audio-Lingual Method: เชื่อว่าฟังและพูดเป็นทักษะที่ต้องพัฒนาก่อนการอ่านและเขียน เน้นให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดและท่องบทสนทนาจนขึ้นใจ เน้นสื่อ เช่น เทปบันทึกเสียง ห้องปฏิบัติการทางภาษา แต่ปัญหาของการเรียนวิธีนี้คือการสื่อสารนอกห้องเรียนมีความซับซ้อนเกินกว่าโครงสร้างของบทสนทนาที่ครูให้ท่องในชั้นเรียนทำให้นักเรียนไม่สามารถดำเนินการสนทนาต่อได้
นักวิจัยสหรัฐฯ ราวปี 1960 (John B. Carroll, Kenneth Chastain, & Nohm Shomski) ชี้ว่าการเรียนรู้ภาษาของคนมีความสลับซับซ้อนมากกว่าที่จะเลียนแบบหรือทำซ้ำๆตาม (Audio-Lingual Method) เพียงเท่านั้น และก็ปฏิเสธการเรียนการเรียนการสอนแบบ Gramma-Translation Method เพียงอย่างเดียว จึงคิดค้นการสอนภาษาแบบใหม่ขึ้นมาเรียนกว่า การสอนภาษาตามแนวสื่อสาร (Communicative Language Teaching-CLT) นักภาษาศาสตร์เล่านี้เชื่อว่าผู้เรียนควรต้องเริ่มแรกพัฒนาความสามารถที่จะเข้าใจภาษาก่อน (เรียนรู้กฎเกณฏไวยากรณ์) ก่อนจะนำไปประยุกต์ใช้เองในสถาณการณ์จริงบ่อยๆจนสามารถสื่อสารได้ในสังคมจริง
ปัญหาตอนนี้คือวันนี้คนไทยจำนวนมากยังไม่สามารถนำภาษาอังกฤษไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ดีนัก โดยเฉพาะทักษะการฟังและพูด สาเหตุหนึ่งมาคือข้อจำกัดที่ว่าผู้เรียนมีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษนอกห้องเรียนน้อยมาก และผู้เรียนขาดความกล้า ขาดความเชื่อมั่น รวมทั้งขาดแรงจูงใจที่จะสนทนาภาษาอังกฤษ การฝึกภาษาอังกฤษ เราต้องทำให้ตัวเองแวดล้อมด้วยภาษาอังกฤษให้มากที่สุด ใช้ความบันเทิงเข้าช่วยค่ะ มันจะทำให้เราทำได้นาน ถ้าฝึกภาษาแล้วเราเบื่อ เราก็ทำได้ไม่นานจริงไหมคะภาษาเป็นเรื่องที่เรียนรู้ได้ไม่จบไม่สิ้นอยู่แล้ว พยายามทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตดีกว่า ที่จะมองมันเป็นวิชาวิชาหนึ่งนะคะ
แรงจูงใจในการเรียนมีสองประเภทใหญ่ๆ คือ
Extrinsic motivation คือ แรงจูงใจที่มาจากภายนอก เช่น ตั้งใจเรียนเพื่อให้ได้รับคำชม สอบให้ได้คะแนนดีเพื่อให้ได้เรียนต่อ เป็นต้น
Intrinsic motivation คือ แรงจูงใจที่มาจากภายใน เช่น เรียนภาษาอังกฤษเพราะอยากเรียน ตั้งใจเรียนวิทยาศาสตร์เพราะสนใจอยากรู้
เราเองก็สามารถทำให้ตัวเราเปลี่ยนจากการเรียนด้วย extrinsic motivation มาเป็น intrinsic motivation ได้เหมือนกัน สำหรับภาษาอังกฤษนั้นเราควรจะใช้วิธีเรียนให้สนุกโดยไม่หวังผลอย่างรวดเร็วมากนัก เพราะเมื่อไหร่ที่หวังผลเร็วๆ มันจะเครียดแทนที่จะเรียนด้วยความอยากเรียนอยากรู้ เมื่อไหร่ที่รู้สึกท้อแท้ก็จะคิดว่า เราเรียนแบบสนุก เพราะอยากเรียนมากกว่าที่จะหวังผลเอาวันรุ่งพรุ่งนี้ ก็จะทำให้เรียนอย่างมีความสุขได้ แล้วในที่สุดผลลัพธ์ก็จะมาเองค่ะ
ความจริงเนื้อหาหลักสูตรเรียนภาษาอังกฤษมีอยู่ทั่วไปหลากหลาย ดิฉันเป็นเพียงผู้
กลยุทธ์ปฏิบัติ
ผู้สอน: ทบทวนศัพท์ที่เรียนมาให้บ่อยที่สุด โยงศัพท์ใหม่กับเหตุการณ์หรือรูปภาพหรือการกระทำเพื่อง่ายต่อการจำ
ผู้สอนอาจส่งคำศัพท์น่ารู้ประจำวันให้ผู้เรียนผ่าน facebook or email
ผู้สอนต้องถามผู้เรียนก่อนว่าสนใจอะไร ชอบอ่านอะไร ชอบดูหนังไหม หนังอะไร
ผู้สอนบรรยายวัฒนธรรมการเรียนรู้ของตะวันตกกับไทย ความกล้าคิดกล้าทำ กล้าแสดงความคิดเห็น ความชอบของตัวเอง มีความคิดเป็นของตัวเอง ให้รู้จักความคิดตัวเอง
ผู้สอนโฟกัสหรือเจาะจงที่หัวใจหลักเดียว (ที่ผู้เรียนสนใจ อาจมีชอยส์ให้เค้าเลือก เช่นมีหนังให้เลือก มีเรื่องให้เลือก)
เช่น
ผมทำอย่างนี้กับนักเรียนของผมในฟรานซานซิสโก พวกเราอ่านหนังสือ “ชาร์ลีกับโรงงานช็อคโกแล็ต” จากนั้นเราได้ฟังเสียงที่มีเนื้อหาจากหนังสือ จากนั้นเราได้ชมภาพยนตร์(ฟังเสียงไปด้วย) จากนั้นเราได้ฟังบทสัมภาษณ์ของนักแสดง นักเรียนของผมได้เรียนรู้คำศัพท์มากมายในช่วงเวลาสั้นและพวกเขาสามารถพัฒนาการพูดได้เร็วมาก
ผู้สอน check upไปแต่ละรายว่าคนไหนสนใจเรื่องอะไร
ผู้เรียน:
เขียนไดอารี่ | เพื่อหัดคิดเป็นภาษาอังกฤษ เพิ่มความคล่อง |
เน้นอ่านข้อความคติสอนใจทุกต้นชั่วโมง | ถ้าเราไม่เคยฟัง ก็คงพูดไม่ได้ ถ้าเราไม่อ่าน เราก็เขียนไม่ได้ค่ะ |
หนังสือน่าอ่าน
The Princess Diaries by Meg Cabot | ซึ่งเป็นหนังสือให้วัยรุ่นอ่าน โดยการดำเนินเรื่องจะเป็นการเขียนไดอารีของตัวเอกทั้งหมด พออ่านๆไป เราเลยรู้สึกได้ถึงการคิดเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาที่ใช้ในเรื่องนี้ก็เข้าใจง่าย เพราะเป็นหนังสือให้เด็กกับวัยรุ่นอ่าน ตัวหนังสือก็ไม่เยอะเกินไป |
การทบทวนศัพท์ที่เรียนมาทั้งหมด (HOW?)
Leave a comment